สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน
มีคนเคยบอกไว้ว่าการที่เราติดตามข่าวสาร สถานการณ์ของโลกและของไทย จะช่วยให้เราจัดการวางแผนชีวิตให้เป็นระบบมากขึ้น เช่นเรื่องของการลงทุน หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าเมื่อต้นเดือน กพ. 63 ที่ผ่านมา กนง.(คณะกรรมการนโยบายการเงิน) ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% แล้วมันส่งผลยังไงต่อการตัดสินใจลงทุนของเรา? เดี๋ยวมาดูกันครับ
คำถามที่ว่า “ลงทุนอย่างไรให้เหมาะสม” ในภาวะเศรษฐกิจที่ดูจะแย่ลงจึงมีความสำคัญขึ้นมาในช่วงนี้ แต่ผมก็เป็นเหมือนหลายๆคน(ไม่ใช่คนในแวดวง) คือไม่รู้รายละเอียดที่เจาะลึกว่าสาเหตุไหนบ้างที่เข้ามามีอิทธิพลในการตัดสินใจลงทุนของเราในช่วงนี้ ผมจึงได้หาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้บางส่วนและนำมาแบ่งปันกับผู้อ่านในภาษาที่คนอย่างเราๆจะเข้าใจได้ไม่ยากครับ
ทำไมนักวิเคราะห์ถึงมองว่าช่วงนี้เป็น “ขาลงของเศรษฐกิจโลก” ? สรุปสาเหตุหลักๆคือ
1.การระบาดของไวรัสโคโรน่า แน่นอนว่ากระทบเศรษฐกิจโลกแน่ๆแม้ว่าจะระบาดหนักในเอเชีย แต่การส่งออกสินค้าหรือการท่องเที่ยวทั่วโลกต้องหยุดชะงักลงแน่ อย่างน้อยก็อีก 2-3 เดือนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น จึงพูดได้ว่าพอเศรษฐกิจของจีนทรุด ก็ดึงเอาเศรษฐกิจทั้งโลกทรุดตาม
2.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ในการแย่งชิงความเป็นหนึ่งทางด้านเทคโนโลยีของโลก ที่ดูจะเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สร้างความอึดอัดในบรรยากาศการลงทุนโลก
3.ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯกับอิหร่าน ที่ปะทะกันมาแล้วและมีโอกาสที่จะเกิดการปะทะย่อยๆได้ทุกเมื่อ
เรามาดูปัจจัยในไทยที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนกันบ้าง
1.ปัญหาด้านการเมือง โดยในเดือนกพ.นี้จะมีเรื่องของงบประมาณปี 2563 ที่ล่าช้า (กรณีเสียบบัตรแทน) ซึ่งประเด็นนี้จะส่งผลต่อโครงการการลงทุนต่างๆของรัฐบาล (ในแง่เสถียรภาพ/ภาพลักษณ์)
2.ปัญหาภัยแล้ง สำหรับอุตสาหกรรมการเกษตรที่ต้องพึ่งพาน้ำโดยตรง
3.GDP ของไทยเติบโตแค่ 2.5 - 3.0% อันเป็นผลมาจากหลายๆปัจจัยเช่น การท่องเที่ยว การค้า การลงทุน ที่หยุดชะงัก
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้นักลงทุนทั้งนอกและในประเทศต่างก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะลงทุนในไทย มากนัก ต่อเนื่องไปสู่ตลาดหุ้นไทยเกิดความผันผวน (เกิดความเสี่ยงที่สูงขึ้นสำหรับคนเล่นหุ้น)
มาถึงที่ผมเขียนไว้ช่วงต้นว่า กนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% (จาก 1.25% เหลือ 1.0%) เป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในประวัติศาสตร์ไทย โดยการปรับลดครั้งนี้เป็นเพราะ กนง. ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประเมินไว้ (ก็คือต่ำกว่าศักยภาพค่อนข้างมาก) แล้วการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนี้มันดีหรือไม่ดียังไง?
ง่ายๆก็คือ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยจะเอื้อประโยชน์ให้คนที่อยากกู้เงินซื้อบ้าน/คอนโด เพราะจะจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงกว่าเมื่อก่อน(คนที่อยากได้บ้านหรือคอนโด ช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดี) ส่วนคนธรรมดาอย่างเราๆที่มีบัญชีเงินฝากประจำอาจจะได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารใหญ่ๆต่างก็ทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลง เช่น กสิกรฯ ปรับลด 0.05 - 0.25% ต่อปี ก็คือจะทำให้คนที่ฝากเงินประจำอย่างเดียวจะได้อัตราดอกเบี้ยเงินคืนจากธนาคารน้อยลงนั่นเอง (ผลตอบแทนน้อยลง)
มาถึงประเด็นที่เราจะพูดกันคือ ในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ การลงทุนแบบเดิมๆอาจได้ผลตอบแทนน้อยลง คนจึงหันไป
“ลงทุนทองคำ” กันมากขึ้นจนกลายเป็นกระแสในช่วงนี้ แล้วการลงทุนซื้อขายทองคำเพื่อเก็งกำไรมันดียังไง?

ก็คือเมื่อใดที่เศรษฐกิจโลกหยุดชะงักหรือเกิดวิกฤตต่างๆ เช่น สงครามการค้า โรคระบาด การสู้รบ ฯลฯตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นผลให้การลงทุนแบบหุ้น,หุ้นกู้สกุลดอลล่าร์หรือกองทุนบางตัวจะมีความเสี่ยงที่สูงและอันตรายมากขึ้น ฉะนั้นคนจึงหันไปลงทุนในวิธีแบบ Safe Zone ก็คือการลงทุน “ทองคำ” ที่จัดอยู่ในกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัย(Safe Heaven) กล่าวง่ายๆคือทองคำมักจะมีการเติบโตและมีความนิยมสวนทางกับการลงทุนในแบบอื่นๆ (หุ้นตกแต่ทองขึ้น)
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงเชื่อว่า การลงทุนทองคำ จะเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ถูกต้องในช่วงเวลานี้ โดยแนะนำเพิ่มเติมว่าควรแบ่งเงินที่นำไปลงทุนทั้งหมดประมาณ 20-30% มาลงทุนในทองคำ ยิ่งถ้าเป็นคนที่นิยมเล่นหุ้นหรือเป็นนักลงทุนอยู่แล้ว การลงทุนทองคำจะเป็น “การพักเงิน” เพื่อหลบจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และรอจังหวะที่จะทำกำไรเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ส่วนคนธรรมดาแบบเราที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องหุ้นหรือการลงทุนมากนัก การลงทุนทองคำ ก็ยังคงเป็นวิธียอดนิยมในการแบ่งเงินเก็บแทนที่จะนำไปฝากประจำอย่างเดียวก็นำมาซื้อทองเก็บไว้ เมื่อทองลงก็เก็บ แต่ถ้าทองขึ้นจนถึงราคาที่เราพอใจจะขายก็ตัดขายไป ส่วนต่างที่ได้มาไม่ว่าจะมากหรือน้อยแต่ก็คือกำไรที่เราจะได้
สรุปแล้วก็คือการลงทุนทองคำไม่ว่าจะเป็นทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณก็เป็นวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์ตอนนี้ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ เป็นการหลบหลีกจากความผันผวนของเศรษฐกิจในแบบที่ยังคงทำกำไรได้อยู่ อ่านมาถึงตรงนี้ ทุกท่านลองดูตามความเหมาะสมของแต่ละคนนะครับ ถ้าพร้อมก็แบ่งเงินมาซื้อทองเก็บไว้ กระจายการลงทุนของเราไปในหลายรูปแบบ เพื่อเปิดโอกาสการลงทุนของตัวเองให้มากขึ้น ว่าแล้วผมก็พยายามเก็บเงินซื้อทองดีกว่า.
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ
**ขอบคุณข้อมูลจาก**
กรุงเทพธุรกิจ / Business Today / ธนาคารแห่งประเทศไทย / Brand Inside / ฐานเศรษฐกิจ / NCB